ในวันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2564 ดิฉัน นางสาวทิพธัญญา ภักดีนันท์ ( บัณฑิตจบใหม่ ) ได้เดินทางลงพื้นที่ร่วมกับทีมงานและคณะอาจารย์ในการพบปะกับชาวบ้านตำบลดอนกอก ณ อบต.ดอนกอก ลงประชาคมกับชาวบ้านเพื่อศึกษา ปรึกษา เกี่ยวกับปัญหาและความต้องการในการผลิตผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ ซึ่งการร่วมประชาคมครั้งนี้ มีนายก อบต. ได้ให้เกียรติมาเป็นผู้บรรยายร่วมกับเราด้วย และหลักจากนั้น ดิฉันได้เดินทางกับคณะในการเข้าชมผ้าไหมที่ร้านผ้าไหมเปิดใหม่ในหมู่บ้าน ซึ่งมีหลากหลายลวดลายที่สวยงานให้เลือกชมเลือกซื้อ ซึ่งยกตัวอย่างดังนี้ ลายดอกแก้ว ลายกงห้าวง ลายกงเก้าหมากจับ ลายงูเหลือม 23 ลำ 3 ลายตาคั่น ลายขอเกี้ยว 3 ลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือลายกากบาท ลายมัดหมี่แบบเรขาคณิต มัดหมี่แบบอิสระ สร้างสรรค์ มัดหมี่ตรงทอสไลด์ มัดหมี่ทางเส้นยืน
ลายผ้าไหมที่พบมากที่สุด คือ ลายไหมพื้นเมือง ซึ่งเป็นลายผ้าดั้งเดิม เป็นลายพื้นฐานที่มักปรากฏบนผ้าทอเกือบทุกประเภท มีลักษณะเป็นรูปทรงเลขาคณิตต่างๆ เช่น สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม เป็นต้น
ในส่วนของตำบลดอนกอกจะพบเป็น ผ้ามัดหมี่ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การมัดหมี่และได้แพร่หลายไปทั่วทั้งภาคกลางและภาคเหนือ เนื่องจากผ้ามัดหมี่จะมัดเฉพาะเส้นไหมพุ่ง แบ่งได้ 2 ชนิด คือ ผ้า 2 ตะกอและผ้า 3 ตะกอ มีลักษณะผ้าเนื้อแน่นและด้านหน้าเงางามกว่าด้านหลัง
เพราะ ผ้าไหมมัดหมี่ จะได้ได้ลวดลายคงทนไม่เสียหาย สีไม่จาง ไม่เสื่อมสภาพ เพราะมีการออกแบบและสร้างลายก่อนที่จะย้อมสี จึงมั่นใจได้ว่าสามารถนำมาใช้ได้นาน ซึ่งแตกต่างจากผ้าไหมทั่วไป คือผ้าไหมที่มีกระบวนการผลิตตามปกติ และนำย้อมสีและพิมพ์ลวดลายในภายหลังจึงทำให้ลวดลายเหล่านั้นจางลงหรือเสื่อมสภาพไปในภายหลัง ทำให้ผ้าไหมดูเก่าลงไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนกับชุดเสื้อผ้าที่ผลิตมาจากผ้าไหมมัดหมี่ ดังนั้นจึงคุ้มค่ากว่ามากแต่ราคาของผ้าไหมมัดหมี่จะมีราคาสูงกว่าผ้าไหมทั่วไป แต่ก็ไม่ได้มากนัก โดยทั่วไปจะขายกันที่หลาละ 500 ถึง 700 บาท ถือว่าแพงกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าแลกกับการได้เสื้อผ้าที่มีความคงทนคุ้มกับการลงทุน ซื้อแค่ครั้งเดียวสามารถนำมาใช้สวมใส่ไปได้ตลอด ไม่เสื่อมสภาพง่ายๆเหมือนเสื้อผ้าทั่วไป ก็ถือว่าไม่ได้แพงเลย