โครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ

(1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย)

“โครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างรากแก้วให้กับประเทศ”

หลักสูตร HS05 การทอผ้าไหมขิดยกดอก เพื่อเพิ่มรายได้ในครัวเรือนอย่างยั่งยืน

ตำบลเมืองแฝก อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์

      เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2564 เวลา 10.00 – 12.00 ณ.โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลเมืองแฝก อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ข้าพเจ้า นายณัฐพล นวลศรี ประชาชน หลักสูตร SH05 การทอผ้าไหมขิดยกดอก เพื่อเพิ่มรายได้ในครัวเรือนอย่างยั่งยืน ตำบลเมืองแฝก อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้เข้าร่วมอบรมการตลาดในยุคดิจิทัล ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลเมืองแฝก โดยมีโค้ชเอส ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนการตลาดมาให้ความรู้ในการทำการตลาดออนไลน์ดังนี้

 

  การให้ความรู้เกี่ยวกับ ไทยแลนด์ 4.0 การทำธุระกิจออนไลน์ในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการติดต่อสื่อสารและซื้อขายแลกเปลี่ยน ซึ่งเราทุกคนสามารถเป็นได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายในเวลาเดียวกัน ธุรกิจออนไลน์ยังสามารถสร้างรายได้ให้เราได้ สำหรับประเทศไทย เรามีเว็บไซต์ชื้อขายของออนไลน์มากมาย ที่สร้างช่องทางการขายสำหรับผู้ประกอบการ และเพื่อเพิ่มทางเลือกสินค้าและบริการที่หลากหลายใหม่ๆ เช่น เว็บไซต์อเมซอน เว็บไซต์ลาซาด้า เว็บไซต์ช้อบปี้ เว็บไซต์วีเลิฟช้อปปิ้ง เว็ปไซต์ตลาดดอทคอม เว็บไซต์เซ็นทรัล และเว็บไซต์ขายดีดอทคอมเป็นต้น เป็นช่องทางที่สามารถข้าถึงสินค้าของเราได้ง่ายทั่วถึงทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถ้าสินค้าดีมีคุณภาพ จะมีโอกาสได้กลุ่มลูกค้าเพิ่ม จากการแชร์ และการบอกต่อกันไปเรื่อยๆ   สามารถขายของออนไลน์เป็นรายได้เสริมให้กับตัวเองและครอบครัว ได้

การ ตลาดออนไลน์ คืออะไรมีข้อดีอย่างไร

     ตลาดออนไลน์ คือ การทำการตลาดผ่านระบบอินเตอร์เน็ต สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้รวดเร็วและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทั่วโลก หรือเฉพาะเจาะจงตามความต้องการของลูกค้า แถมการตลาดออนไลน์ ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ในเรื่องพนักงานขาย การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ในรูปแบบสื่อ และยัง ทำให้ปริมาณการซื้อ-ขายเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ผู้ขายจะต้องศึกษาเรื่องของสินค้าและกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้การใช้สื่อประเภทมีประสิทธิภาพ

ข้อดีของการทำการตลาดออนไลน์

– ได้รับความสนใจจากผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก
– ราคาของการตลาดออนไลน์มีต้นทุนต่ำกว่าการตลาด การโฆษณาและประชาสัมพันธ์แบบอื่น
– การตลาดออนไลน์ช่วยให้เจ้าของกิจการประหยัดงบ และค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานขาย
– การตลาดออนไลน์สามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมง สามารถปรับเปลี่ยนโปรโมชั่นใหม่ๆได้ตลอดเวลาไม่ต้องรอ

E-Commerce คืออะไร?

  E-Commerce ย่อมาจากคำว่า Electronic Commerce แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือการทำธุรกิจโดยซื้อขายสินค้าหรือโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่นิยมคือ วิทยุ โทรทัศน์ และที่มีการใช้งานมากที่สุดในปัจจุบันก็คืออินเทอร์เน็ต โดยสามารถใช้ทั้งข้อความ เสียง ภาพ และคลิปวิดีโอในการทำธุรกิจได้ การทำธุรกิจแบบ E-commerce สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางและทำให้ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินการได้เป็นอย่างดี

 

ประเภทของ E-Commerce

  1. ธุรกิจกับผู้ซื้อปลีก หรือ บีทูซี (B-to-C = Business to Consumer)คือ ผู้ซื้อปลีกซื้อสินค้าจากผู้ขายผ่านอินเตอร์เน็ต เช่น การขายเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง เป็นต้น
  2. ธุรกิจกับธุรกิจ หรือ บีทูบี (B-to-B = Business to Business)คือ ผู้ประกอบการสองฝ่ายทำการติดต่อซื้อขายกัน โดยการขายในที่นี้เป็นการขายส่ง ซึ่งทำการสั่งซื้อผ่านอินเทอร์เน็ต
  3. ธุรกิจกับรัฐบาล หรือ บีทูจี (B-to-G = Business to Government)คือ ธุรกิจระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ เช่น การจัดจ้างของภาครัฐโดยประกาศผ่านทางเว็บไซต์ของรัฐเพื่อลดค่าใช้จ่าย
  4. รัฐบาลกับรัฐบาล หรือ จีทูจี (G-to-G = Government to Government)คือ การติดต่อกันระหว่างหน่วยงานในรัฐบาล เป็นการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกระทรวง
  5. ผู้บริโภคกับผู้บริโภค หรือ ซีทูซี (C-to-C = Consumer to Consumer) คือ การติดต่อซื้อขายระหว่างผู้บริโภคด้วยกันเอง กล่าวคือ ผู้บริโภคที่ไม่ได้ประกอบธุรกิจประกาศขายสินค้าของตนเอง และผู้บริโภคอีกคนก็สนใจสั่งซื้อไป การประกาศขายนี้ส่วนใหญ่ทำผ่านอินเทอร์เน็ตเพราะมีพื้นที่ให้ติดต่อซื้อขายได้สะดวก รวมถึงหาคนที่มีความสนใจเหมือนกันได้ง่ายอีกด้วย
  6. ภาครัฐกับประชาชน หรือ จีทูซี (G-to-C = Government to Consumer)คือ การให้บริการจากทางภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต เช่น การคำนวณและเสียภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต การดาวน์โหลดแบบฟอร์มเพื่อลงทะเบียนต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์

ทำไมจึงควรทำ E-Commerce?

ปัจจุบัน ผู้คนสามารถเข้าถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในโลกออนไลน์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และการใช้งานอินเตอร์เน็ตถือได้ว่าเป็นกิจกรรมหลักในชีวิตประจำวันของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นโซเชียลมีเดีย ค้นหาข้อมูล เช็คอีเมล ดูโทรทัศน์หรือฟังเพลงออนไลน์ เป็นต้น ทำให้หลายธุรกิจจึงหันมาทำ E-Commerce กันมากขึ้นเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าดังกล่าว อีกทั้งธุรกิจ E-Commerce ยังมีข้อดีและประโยชน์ในหลายด้านซึ่งสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้

  1. ไม่ต้องมีหน้าร้านสามารถโชว์ตัวอย่างสินค้าเป็นรูปหรือคลิปวิดีโอบนเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียได้
  2. ไม่ต้องใช้พนักงานขายสามารถแสดงข้อมูลต่างๆ พร้อมระบบที่สามารถทำการซื้อขายได้อัตโนมัติ หรือติดต่อทางร้านได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้เปิดขายและรองรับลูกค้าได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
  3. เพิ่มโอกาสในการขายร้านค้ามีโอกาสเข้าถึงทุกคนที่มีอินเทอร์เน็ตได้ จึงสามารถมีลูกค้าได้จากทั้งประเทศและทั่วโลก หมดปัญหาเรื่องการเดินทาง
  4. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการจึงสามารถนำเงินไปลงทุนในด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้นได้ เช่น การขยายธุรกิจ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
  5. ทำการตลาดได้แม่นยำและสามารถวัดผลได้สามารถใช้เว็บไซต์ขายสินค้าและโชเชียลมีเดียเก็บข้อมูลลูกค้ารวมถึงผู้เยี่ยมชม และนำไปใช้ในการทำการตลาดออนไลน์ได้ตรงเป้าหมาย อีกทั้งยังมีระบบที่สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพได้ซึ่งต่างจากการลงโฆษณาในสื่อออฟไลน์ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นต้น

เว็บไซต์ E-Commerce ที่ดีควรเป็นอย่างไร?

เว็บไซต์ถือเป็นตัวกลางระหว่างร้านค้าและลูกค้า การจะขายสินค้าได้หรือไม่ได้นั้นส่วนหนึ่งก็มาจากเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบธุรกิจขายสินค้าทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง E-commerce แบบธุรกิจกับผู้ซื้อปลีก (B-to-C) ทำให้มีการแข่งขันสูง การทำเว็บไซต์ให้มีระบบการจัดการที่ดีต่อเจ้าของธุรกิจและเป็นมิตรกับลูกค้าผู้ใช้งาน จะช่วยลดภาระต่างๆ ของผู้ประกอบการได้มากและปิดการขายได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถสรุปรายละเอียดของเว็บไซต์ E-Commerce ที่ดีได้เป็นหัวข้อดังนี้

  1. หน้าเว็บไซต์ต้องเป็นระเบียบนอกจากความสวยงามแล้ว เว็บไซต์จะต้องใช้งานง่าย มีการแบ่งหมวดหมู่สินค้าอย่างเป็นระบบ ไม่ซับซ้อน
  2. ระบบเว็บไซต์หรือระบบหลังร้านต้องจัดการและควบคุมได้ง่ายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขาย
  3. มีรายละเอียดของสินค้าครบถ้วนชัดเจนทั้งรูปภาพ ข้อความอธิบาย ราคา นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มส่วนของรีวิวจากลูกค้าก็ได้เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อ
  4. สถานะสินค้าต้องแสดงแบบReal Time กล่าวคือ ถ้าสินค้าหมด หรือเหลือจำนวนน้อย ต้องขึ้นแสดงให้ลูกค้าเห็น เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ
  5. มีขั้นตอนการสั่งซื้อที่ง่ายไม่ยุ่งยาก มีการระบุชัดเจนว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
  6. อำนวยความสะดวกในการสั่งซื้อด้วยระบบตะกร้าสินค้า (Shopping Cart)ที่สามารถจดจำข้อมูลและจำนวนสินค้าของลูกค้าเอาไว้
  7. สามารถสรุปรายการสั่งซื้อให้ลูกค้าได้เช่น ราคาสินค้าทั้งหมด ค่าจัดส่ง เป็นต้น
  8. การชำระเงินต้องมีความปลอดภัยและควรมีช่องทางให้ลูกค้าชำระเงินได้หลายช่องทาง เช่น บัตรเครดิต โอนผ่านธนาคาร เป็นต้น
  9. มีระบบการติดตามการจัดส่งเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
  10. เว็บไซต์ต้องรองรับการทำSEO (Search Engine Optimization) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ค้นเจอเว็บไซต์และเพิ่มผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสขายสินค้าได้มากขึ้น

 9 ที่ควรมีก่อนเริ่มขายออนไลน์

1 ชื่อร้าน

2 สินค้า

3 เงินทุน

4 จุดเด่นของร้าน

5 ช่องทางการจำหน่าย

6 แผนการตลาด

  จากการเข้าร่วมอบรมในครั้งนี้ทำให้กระผมได้ความรู้มากมายเกี่ยวกับการขายของออนไลน์ในยุค 4.0 และสามารถเป็นแรงบันดารใจในการขายของออนไลน์เพื่อเป็นรายได้เสริมให้ตัวเองและครอบครัวได้ เพราะถือว่าการขายของออนไลน์คือธุระกิจที่เข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็วในโลกที่เปรี่ยนแปลงไปเยอะมากไปจากอดีต กระผมจะนำความที่ได้รับจากการอบรมครั้งที่ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด .

  จากนั้นข้าพเจ้าได้เดินทางไปที่บ้านหนองไผ่ล้อมเพื่อไปดูงานผู้เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการทอผ้าไหมลายขิดยกดอก ที่ผู้เข้าร่วมโครงการที่เรียนจบแล้วสามารถมีงานที่ทันทีสามราถสร้างรายได้ในครัวเรือน ที่ราคาสูงถึง 3000 ถึง 10000 ต่อผืนเลนทีเดียวถึงว่าเป็นอาชีพที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

 

 

  จากนั้นกระผมได้ไปที่วัดหนองเก้าข่า ตำบลเมืองแฝก อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์  เพื่อไปทำความสะอาดรอบๆ และนำอุปกรณ์ในการทำความสะอาดมอบให้วัดเพื่อทำความสะอาดต่อไปครับเพราะถ้าวัดสะอาดและน่าอยู่คนก็จะมาเข้าวัดทำบุญกันมากขึ้น

 

จากนั้นวันที่ 28 ตุลาคม 2564 กระผมได้เข้าร่วมอบรมออนไลน์ ในหัวข้อ Quadruple Helix จตุรภาคีสี่ประสานสู่การพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน” ทำให้ได้ความรู้มากมายหลายด้านในการอบรมครั้งนี้ 


 

 อ้างอิง

https://phiyada.weebly.com/3586365736293617364136213629363435943637361436293636362636193632.html

https://seo-web.aun-thai.co.th/blog/marketing-blog-ecommerce-strategy/

 

 

อื่นๆ

เมนู