“ดิน” คือ วัตถุตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากผลของการผุพังสลายตัวของหินและแร่ ต่างๆ ผสมคลุกเคล้ารวมกับอินทรียวัตถุหรืออินทรียสารที่ได้มาจากการสลายตัวของเศษซากพืชและสัตว์จนเป็นเนื้อเดียวกัน มีลักษณะร่วนไม่เกาะกันแข็งเป็นหิน เกิดขึ้นปกคลุมพื้นผิวโลกอยู่เป็นชั้นบางๆ และเป็นที่ยึดเหนี่ยวในการเจริญเติบโตของพืช
ประโยชน์และความสำคัญของดิน
ดินมีประโยชน์มากมายต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ คือ
1. ประโยชน์ต่อการเกษตรกรรม เพราะดินเป็นต้นกำเนิดของการเกษตรกรรมเป็นแหล่งผลิตอาหารของมนุษย์ ในดินจะมีอินทรียวัตถุและธาตุอาหารรวมทั้งน้ำที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช อาหารที่คนเราบริโภคในทุกวันนี้มาจากการเกษตรกรรมถึง 90%
2. การเลี้ยงสัตว์ ดินเป็นแหล่งอาหารสัตว์ทั้งพวกพืชและหญ้าที่ขึ้นอยู่ ตลอดจนเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์บางชนิด เช่น งู แมลง ฯลฯ
3. เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย แผ่นดินเป็นที่ตั้งของเมือง บ้านเรือน ทำให้เกิดวัฒนธรรมและอารยธรรมของชุมชนต่าง ๆ มากมาย
4. เป็นแหล่งเก็บกักน้ำ เนื้อดินจะมีส่วนประกอบสำคัญ ๆ คือ ส่วนที่เป็นของแข็ง ได้แก่ กรวด ทราย ตะกอน และส่วนที่เป็นของเหลว คือ น้ำซึ่งอยู่ในรูปของความชื้นในดิน ซึ่งถ้ามีอยู่มากๆ ก็จะกลายเป็นน้ำซึมอยู่คือ น้ำใต้ดิน น้ำเหล่านี้จะค่อยๆ ซึมลงที่ต่ำ เช่น แม่น้ำลำคลอง ทำให้เรามีน้ำใช้ได้ตลอดปี
จากประโยชน์ที่กล่าวมาข้างต้น ดินยังสามารถทำให้พืชผักหรือต้นไม้นานาพรรณ เจริญเติบโต กลายเป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ เพิ่มออกซิเจนให้แก่โลกของเรา ซึ่งหลายคนได้ขนานนามว่า “ป่าไม้ คือ ปอดของโลก” ทั้งนี้หมู่ที่ 14 บ้านถนนขาด นำโดยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 14 ได้จัดกิจกรรมทำความดีจิตอาสาวันแม่แห่งชาติ ณ.อ่างเก็บน้ำชุมชน โดยคนในชุมชนบ้านถนนขาดได้มีการรวมกลุ่มกันทำความสะอาด ตัดกิ่งไม้ ตกแต่งรอบๆ บริเวณของหมู่บ้าน รวมทั้งการปลูกต้นไม้บริเวณรอบอ่างเก็บน้ำ เพื่อให้ต้นไม้เหล่านั้นกลายเป็นป่าไม้ที่ร่มรื่น สร้างความร่มเย็นให้กับคนในชุมชนและยังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนในชุมชนได้ในอนาคต
ชนิดของดิน
อนุภาคของดินจะรวมตัวกันเข้าเกิดเป็นเม็ดดิน อนุภาคเหล่านี้จะมีขนาดไม่เท่ากัน ขนาดเล็กที่สุดคือ อนุภาคดินเหนียว อนุภาคขนาดกลางเรียกอนุภาคทรายแป้ง อนุภาคขนาดใหญ่เรียกว่า อนุภาคทรายเนื้อดิน จะมีอนุภาคทั้ง 3 กลุ่มนี้ผสมกันอยู่ในสัดส่วนที่ไม่เท่ากันทำให้เกิดลักษณะของดิน 3 ชนิดใหญ่ ๆ คือ ดินเหนียว ดินทราย และดินร่วน
1. ดินเหนียว เป็นดินที่เมื่อเปียกแล้วมีความยืดหยุ่น อาจปั้นเป็นก้อนหรือคลึงเป็นเส้นยาวได้เหนียวเหนอะหนะติดมือ เป็นดินที่มีการระบายน้ำและอากาศไม่ดี มีความสามารถในการอุ้มน้ำได้ดี มีความสามารถในการจับยึดและแลกเปลี่ยนธาตุอาหารพืชได้สูง หรือค่อนข้างสูง เป็นดินที่มีก้อนเนื้อละเอียด เพราะมีปริมาณอนุภาคดินเหนียวอยู่มาก เหมาะที่จะใช้ทำนาปลูกข้าวเพราะเก็บน้ำได้นาน
2. ดินทราย เป็นดินที่มีการระบายน้ำและอากาศดีมาก มีความสามารถในการอุ้มน้ำต่ำ มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เพราะความสามารถในการจับยึดธาตุอาหารพืชมีน้อย พืชที่ชั้นบนดินทรายจึงมักขาดทั้งอาหารและน้ำเป็นดินที่มีเนื้อดินทรายเพราะมีปริมาณอนุภาคทรายมาก
3. ดินร่วน เป็นดินที่มีเนื้อดินค่อนข้างละเอียดนุ่มมือ ยืดหยุ่นได้บ้าง มีการระบายน้ำได้ดีปานกลาง จัดเป็นเนื้อดินที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกในธรรมชาติ มักไม่ค่อยพบแต่จะพบดินที่มีเนื้อดินใกล้เคียงกันมากกว่าสีของดิน สีของดินจะทำให้เราทราบถึงความอุดมสมบูรณ์ปริมาณอินทรียวัตถุที่ปะปนอยู่และแปรสภาพเป็นฮิวมัสในดิน ทำให้สีของดินต่างกัน ถ้ามีฮิวมัสน้อยสีจะจางลงมีความอุดมสมบูรณ์น้อย

ดินเหนียว

ดินทราย

ดินร่วน
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า สิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกอาศัยดินในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะมนุษย์ได้ปัจจัยพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิต 4 อย่างคือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคมาจากดิน ในบรรดาปัจจัยจำเป็นสำหรับมนุษย์ทั้ง 4 อย่างดังกล่าว จะได้มาจากพืชเป็นหลัก พืชกับดินเป็นธรรมชาติที่คู่กัน และอยู่ร่วมกันมาตลอดโดยที่พืชต้องอาศัยดินในการหยั่งราก ยืนต้น แผ่กิ่งก้านสาขา ชูใบ ดอก และผล ดิน ยืดเกาะติดกันส่วนหนึ่งด้วยรากพืช และส่วนต่างๆ ของพืชที่ตายทับถมลงไปในดิน กลายเป็นองค์ประกอบของดินที่สำคัญ มนุษย์เป็นผู้คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากดินและพืชพร้อมกับมีหน้าที่สำคัญต้องบำรุงรักษาทรัพยากรดินและพืชเอาไว้ให้เกิดประโยชน์กับมนุษย์และโลกให้มากและนานที่สุด เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราทุกคนมาร่วมมือกันอนุรักษ์ทรัพยากรดินให้อยู่กับเราและคนรุ่นหลังกันเถอะ